ในปัจจุบันนี้ ผู้ใหญ่บางคนในยุค 90s อาจจะเคยถูกปลูกฝังว่าเรียนปริญญาตรีจบสาขาไหนก็ได้ เดี๋ยวค่อยไปเรียนสิ่งที่ชอบในระดับปริญญาโท จึงทำให้ในวัยเด็กนั้นมีคำถามเกิดขึ้นมากมาย เช่น ทำไมต้องรอถึงปริญญาโทแล้วถึงเริ่มเรียนในสิ่งที่ชอบ แล้วถ้าสุดท้ายเรียนแล้วรู้สึกไม่ชอบอีก ที่ผ่านมาไม่สูญเปล่าหรอกหรือ บางคนเรียนตามใจพอแม่จนสับสบกับชีวิตตัวเองว่าจริงๆ แล้วชีวิตนี้ชอบอะไร แล้วเรียนไปทำไม เพราะความฝันกับความเป็นจริงมันมักสวนทางกันอยู่เสมอ   ในช่วงชีวิตในวัยเด็กนั้นทุกคนมักความฝัน เช่น อยากเป็นหมอ อยากเป็นทนาย แต่จะมีสักกี่คนที่จะเดินตามความฝันของตัวเอง เหตุผลที่เกิดขึ้นมีมากมายแต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือหลายคนกลัวที่จะเสี่ยง กลัวจะเสียสิ่งที่มีอยู่ไป โดยอาจจะลืมคิดว่า อะไรคือความสุขของตัวเรา และเมื่อใช้ชีวิตถึงวัยผู้ใหญ่ เราจะรู้ว่าความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุด คือการที่ไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย ซึ่งจะทำให้เราเข้าใกล้ชีวิตที่ไร้เป้าหมาย ความมุ่งมั่น ความตั้งใจ ซึ่งอาจจะทำให้อยู่ภาวะหมดไฟ อยากอยู่เฉยๆ และเมื่อไหร่ที่เราทำบางอย่างที่เราไม่ชอบจนเป็นนิสัย เป็นความเคยชินแล้ว จุดนั้นอาจจะเป็นจุดที่เรียกว่า Point of no return ฟีลลิ่งเพลงกลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าวันหนึ่งคุณกล้าที่จะเดินออกมาจาก comfort zone นี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเพราะเวลาคือสิ่งมีค่าที่สุด และไม่สามารถย้อนคืนกลับมาได้ ยิ่งเราหาความสุขของเราเจอเร็วเท่าไร เราก็ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้นเท่านั้น เพราะชีวิตต่อจากนี้ การทำงานต่อจากนี้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง  จงอย่ากังวลว่าสิ่งที่คุณทำอาจจะไม่ได้ยิ่งใหญ่ในสายตาใคร แต่อย่างน้อยคุณได้พิสูจน์ความกล้าหาญและความตั้งใจของตัวเองแล้ว เพราะทุกนาทีคือโอกาส การได้สิ่งหนึ่งจะไม่จำเป็นต้องเสียอีกสิ่งหนึ่งเสมอไป การบริหารจัดการที่ดีตั้งแต่แรก จะช่วยให้สามารถ balance ชีวิตได้เป็นอย่างดี และคุณเชื่อเถอะว่ามันคุ้มค่า เวลาของคุณมีจำกัด จงอย่างเสียเวลาใช้ชีวิตในมาตรฐานของคนอื่น อย่ายอมให้เสียงของใครมาดังกลบความฝันในใจเราโดยเด็ดขาด