ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้เทรนด์ #ย้ายประเทศ มาแรงมากๆ แม้ว่ากลุ่มต้นเรื่องจะเปลี่ยนชื่อจาก “ย้ายประเทศกันเถอะ” มาเป็น “โยกย้าย มาส่ายสะโพกโยกย้าย” ไปแล้วก็ตาม วันนี้เรามาชวนถกประเด็นเรื่องการศึกษากับการย้ายประเทศ โดยขอให้เข้าใจตรงกัน และวางเรื่องการเมือง หรือการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายใดๆ ไปก่อน แล้วลองดูกันว่าทำไม คนรุ่นใหม่ถึงอยากจะโยกย้ายกันมากถึง 9 แสนกว่าคนแล้ว (จากตัวเลขสมาชิกในกลุ่ม) มาดูกันค่ะ 

ทำไมถึงอยากย้ายประเทศ >> ด้วยความที่ยุคนี้ โลกของการสื่อสารนั้นไร้พรมแดนมากๆ ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว จึงเป็นที่มาของการเบิกเนตร เมื่อเห็นคุณภาพชีวิตในบ้านอื่นเมืองอื่น แล้วมาเปรียบเทียบกับคุณภาพชีวิตที่ตัวเองได้รับในประเทศนี้ จนเห็นว่าไม่ตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง ทั้งเรื่องความหวังของการมีรัฐสวัสดิการที่ช่างริบหรี่ โอกาสในการสร้างเนื้อสร้างตัวในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ช่างน่าท้อแท้ พอไปแสดงความเห็นไม่เข้าหูใคร ก็อาจจะโดนด่ากลับมาว่า “ไม่พอใจก็ออกจากประเทศนี้ไปสิ” ซึ่งแต่ก่อนหลายคนอาจจะคิดว่านี่คงเป็นเพียงแค่คำตำหนิผ่านอารมณ์ชั่วครู่ชั่วยามของกลุ่มคนที่มีความคิดต่างกันเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าจะถึงจุดที่หมดหวัง จนคนที่ได้ยินนั้นถึงเวลา “เอาจริง” ขึ้นมา และจากสมาชิกเกือบ 1 ล้านคน ในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 1 เดือน สะท้อนให้เราเห็นว่า กลุ่มนี้ ไม่ได้มาเล่นๆ จากจำนวนคนเห็นด้วยที่มีมากถึงขนาดนี้ แสดงว่าต้องมีจุดที่เห็นตรงกัน หรือหมดหวังร่วมกันมากจริงๆ ซึ่งเนื้อหาในกลุ่มก็มีการแชร์สาระความรู้ทั้งด้านภาษา การเรียนต่อ การทำงาน รัฐสวัสดิการ ไปจนถึงด้านมืดของประเทศต่างๆ โดยไม่แตะประเด็นหรือขั้วทางการเมืองใดๆ เรียกว่า Move on ไปจากจุดนั้นแล้วก็ได้ และไม่ว่า ณ ตอนนี้คุณจะเป็นคนที่เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยกับกระแสนี้ แต่ถ้าคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่เพียงแค่อยากพัฒนาตัวเอง ลองเปิดใจอ่านดูนะคะ 

ต่างประเทศ ถือเป็นการเปิดโอกาสในชีวิตของใครหลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา การศึกษา มุมมอง แนวคิด วัฒนธรรมใหม่ๆ ที่สามาถเก็บเป็นต้นทุนในการต่อยอดและพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้นได้ เชื่อว่าน้องๆ หลายคนก็อาจจะอยากไปเรียนต่อต่างประเทศกันไม่น้อย และไม่ว่าจะเป็นการไปแบบชั่วคราว หรือถาวรก็ตาม บอกเลยว่าการศึกษาช่วยได้ค่ะ เอาง่ายๆ แค่เรื่องภาษา ภาษาดีก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ยิ่งยุคที่คนได้ 2 ภาษาเป็นอย่างน้อย ภาษาที่ 3 จึงเป็นแต้มต่อที่สร้างโอกาสในชีวิตหรือแม้แต่การไปเรียนต่อยอดสาขาความรู้ที่สนใจในต่างแดน การวางแผนการศึกษา การมีโค้ชที่ดีก็เป็นเรื่องสำคัญมากๆ ถ้าได้ไปเรียนต่อจะกลับมาก็มีภาษี มีเส้นทางการทำงานที่ดีกว่า หรือถ้าอยากหาลู่ทางอยู่ต่อถาวรก็ง่ายกว่า เพราะเราพบว่าปัญหาของคนบางส่วนในกลุ่มนี้ยังติดเรื่องภาษา และการศึกษาซึ่งเป็นอุปสรรคให้การเริ่มต้นไปใช้ชีวิตในต่างแดนไม่ง่ายนัก 

แล้วสมองจะไหลไหม >> ตรงนี้อยู่ที่การตัดสินใจของเด็กเลยค่ะ แต่ก่อนที่จะให้เด็กตัดสินใจนั้น ผู้ใหญ่ก็มีส่วนมากๆ เช่นกันค่ะ ถ้าผู้ใหญ่ของบ้านนี้เมืองนี้ ทำให้เด็กๆ รุ่นใหม่ที่เรียกได้ว่าเป็นอนาคตของชาติ มีความหวังที่จะพัฒนาและนำพาประเทศนี้ให้เจริญก้าวหน้าไปได้ รับรองว่าสมองไม่ไหลแน่นอน แต่ถ้าผู้ใหญ่หลายๆ คนกลับทำให้เด็กๆ สิ้นหวังจนอยากจะไปเป็นอนาคตของชาติอื่น ก็รับรองว่าไหลแน่ค่ะ ทั้งนี้ อยากให้มองว่าเรื่องสมองไหล ไม่ใช่เรื่องที่น่าวิตกเท่าการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในประเทศ เพราะถึงแม้ว่าเด็กๆ จะไปเรียนต่อ ประสบความสำเร็จที่ต่างแดน แต่ด้วยยุค 5G แบบนี้ องค์ความรู้ที่พวกเขาได้รับ ก็อาจจะสามารถส่งต่อ หรือนำกลับมาพัฒนาประเทศไทยได้ โดยไม่จำเป็นว่าเจ้าตัวต้องอยู่ในไทยเสียด้วยซ้ำ การเปิดโอกาสและวางแผนทางการศึกษา จึงเป็นหนทางที่สำคัญและจำเป็นที่เราควรสนับสนุน ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร เด็กๆ จะเลือกทางไหน ก็ขอให้เป็นทางที่ดีสำหรับตัวเขาแล้วกัน เพราะการย้ายประเทศก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน แต่เราคงไม่อยากไปขัดขวางให้ใครไปมีอนาคต และคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะเราเองก็อยากมีเหมือนกัน จริงไหมคะ