สำหรับวงการการศึกษาแล้ว แทบจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคณะแพทยศาสตร์ ยังคงเป็นคณะยอดฮิตที่เด็กๆ ใฝ่ฝันอยากเข้าเรียน ผู้ปกครองก็อยากให้ลูกหลานสอบติดคณะนี้กันไม่น้อย
ยิ่งในยุคนี้ที่บุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลนทั้งสายวิทยาศาสตร์สุขภาพโดยตรงหรือ สาขา Biomedical engineering และ Biotechnology เพื่อที่จะพัฒนาความรู้ทางด้านการแพทย์ทั้งยา วัคซีน และเครื่องมือแพทย์ ในการรับมือ กับ โรคใหม่ๆที่สามารถ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับ SARS และ Covid-19 ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการมากเช่นกัน
แต่ออกตัวก่อนนะคะ ว่าโลกไม่ได้หมุนรอบคณะแพทย์เท่านั้น แต่คณะอื่นๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน
และแน่นอนว่าถ้าเราไม่ได้อยากเรียนหมอ หรือสอบหมอไม่ติด ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณค่าในตัวเราจะลดน้อยถอยลงไป ทุกๆ อาชีพมีคุณค่า และมีความสำคัญในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น
ลองคิดดูนะคะว่าไม่มีแม่ครัว พ่อครัว คุณหมอไม่ได้กินข้าวจะเอาแรงที่ไหนไปรักษาคนไข้ได้เนอะ
แต่วันนี้เราจะมาคุยกันสำหรับน้องๆ ที่มีเป้าหมายอยากสอบเข้าคณะแพทย์กันก่อนนะคะ

—–

ในปัจจุบันนั้น คณะแพทย์หลายๆ สถาบัน มีการปรับหลักสูตรที่น่าสนใจมากขึ้น ทั้งการนำหลักสูตรมาพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแรงงาน ทั้งตลาดไทย และต่างประเทศ รวมถึงตัวผู้เรียนเอง
บางหลักสูตรจึงมีการผสมผสานเรียนรู้ในการทำงานงานวิจัยใหม่ๆ หรือแม้แต่การการสร้าง Entrepreneur Mindset (ความคิดแบบเจ้าของกิจการ) ส่งผลให้บางหลักสูตรมีค่าเรียนที่แพงขึ้นหลายเท่าตัว
แต่เมื่อแลกกับประตูสู่ความสำเร็จที่ผู้เรียนต้องการ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Career Path รายได้ หรือ ชื่อเสียง ก็ทำให้หลายๆ ครอบครัวยอมจ่าย
แต่นอกจากกำลังทรัพย์และความเก่ง กลับไม่ใช่ใบเบิกทางในการสอบผ่านเสมอไป
Passion ก็เป็นสิ่งที่อาจารย์คณะแพทย์หลายๆ ท่านกำลังมองหาจากตัวผู้สมัคร
เพราะอาชีพแพทย์ เป็นงานหนัก ต้องรับผิดชอบมาก ต้องเสียสละทั้งสุขภาพ เวลากิน เวลานอน ไม่ได้สวยหรูไปเสียหมดแบบที่หลายคนวาดฝันไว้
ดังนั้น การอยากเป็นหมอโดยการเดินตามคนอื่น อยากเป็นเพราะลาภ ยศ สรรเสริญ ก็อาจจะไม่ได้ทำให้เราได้รับเลือกเสมอไป
และในแต่ละปีด้วยเกณฑ์การคัดเลือกที่เปลี่ยนไป จึงทำให้ผู้สมัครต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง และพร้อมที่สุดเตรียมทั้งคะแนน ผลงานวิจัย Portfolio และ Statement of Purpose หรือจดหมายว่าทำไมถึงอยากเรียนแพทย์ เพื่อเป็นการแสดงจุดยืน แสดงความตั้งใจและความชัดเจนในตัวเองว่า ทำไมถึงอยากเป็นหมอ…แล้วเราอยากโตไปเป็นหมอแบบไหน

—–

ยิ่งการสมัครในส่วนของภาคอินเตอร์นั้น การสอบบางตัวอย่างเช่น #BMAT อาจจะมีโอกาสแค่ 1-2 ครั้ง เท่านั้น
การเตรียมตัว และวางแผนที่รัดกุมมีความสำคัญอย่างมาก เพราะที่จะทำให้ไปถึงเป้าหมายอย่างแท้จริง
ยิ่งในสถานการณ์โควิดด้วยแล้ว นักเรียนหลายคนอาจจะต้องเผชิญหน้ากับศูนย์สอบที่ปิด
จึงอาจจะทำให้พลาดโอกาสที่สำคัญในชีวิต
แต่ชีวิต คือการต่อสู้ อย่ากลัวที่ต้องสอบ
แต่จงกลัวว่าจะไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้ลองใช้ความสามารถของตนเอง ในการพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง

—–

เพราะฉะนั้น ใครที่อยากสอบเข้าหมอ ตอบตัวเองให้ได้นะคะ ว่าอยากเป็นหมอจริงไหม
อยากเป็นเพราะครอบครัวอยากให้เป็น ครูแนะนำ สอบตามเพื่อน เท่ อยากเป็นตามกระแส…
แล้วถ้าได้เป็นจะมีความสุขจริงไหม จุดนี้ต้องคิดให้ดี หรือถ้าอยากเป็นจริงๆ ลองถามตัวเองว่า อยากเป็นหมอแบบไหน
หมอแบบที่เราอยากเป็นจะสร้างประโยชน์ให้แค่ตัวเรา ครอบครัวเรา หรือคนอีกมหาศาล…
ถ้าคุยกับตัวเองจนแน่ใจแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวค่ะ วางแผนให้ดี มีโค้ชที่ใช่ แล้วคณะแพทย์จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน